เรือหลวงลำเเรกของปวงชนชาวไทย
เรือหลวงพระร่วง (HTMS Phra Ruang)
ซึ่งได้เป็นเรือหลวงลำแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่ทั้งข้าราชการและประชาชนผู้มีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว เรี่ยไรทุนทรัพย์ซื้อเรือรบถวายเป็นราชพลีต่อ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จากการพระองค์ที่ทรงจัดตั้ง ราชนาวีสมาคมแห่งกรุงสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ (The Royal Navy League of Siam) ขึ้นเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน ค.ศ.1914 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีความยินดีและเห็นชอบ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานนามเรือนี้ว่า "พระร่วง" อันเป็นสิริมงคลตามวีรกษัตริย์อันเป็นที่นับถือของชาวไทยทั่วไป
รัชกาลที่ 6 ทรงพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นจำนวน 80,000 บาท และพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการได้พร้อมใจกันออกทุนเรี่ยไรถวาย เมื่อครั้งจัดงานพระราชพิธีทวีธาภิเษกในรัชกาลที่ 5 ซึ่งยังเหลือจากการใช้จ่ายเป็นจำนวนเงิน 116,324 บาท ทั้งยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ซึ่งโปรดเกล้า ฯ พระราชทานทรัพย์อีกเป็นจำนวนเงิน 40,000 บาท เมื่อรวมกับเงินที่เรี่ยไรทั่วพระราชอาณาจักร ได้จำนวนรวมทั้งสิ้น 3,514,604 บาท 1 สตางค์ ในปีค.ศ.1920
นายพลเรือโท พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ (เสด็จเตี่ย) ทรงได้รับแต่งตั้งเป็นข้าหลวงพิเศษออกไปจัดซื้อเรือในภาคพื้นยุโรปพร้อมด้วยนายทหารอีก 5 นาย คณะข้าหลวงพิเศษตรวจการซื้อเรือในภาคพื้นยุโรปชุดนี้โดยได้คัดเลือกเรือพิฆาตตอร์ปิโด "เอชเอ็มเอส เรเดียนท์" (HMS Radiant) ของบริษัทธอร์นิครอฟท์ (Thornycroft Co.,) สร้างที่ เมืองเซาแธมป์ตัน ประเทศอังกฤษ ซึ่งเห็นว่าเหมาะสมแก่ความต้องการของกองทัพเรือและเป็นเรือที่ต่อขึ้นเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน ค.ศ.1916 ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ครั้นสงครามยุติลงเมื่อค.ศ.1918 อังกฤษจึงยินดีขาย คณะข้าหลวงพิเศษได้ตกลงซื้อเรือลำนี้เป็นเงิน 200,000 ปอนด์ ส่วนเงินที่เหลือจากการซื้เรือนั้นได้พระราชทานให้แก่กองทัพเรือไว้สำหรับใช้สอย เรือลำนี้เดินทางจากประเทศอังกฤษเข้ามาถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ.1920
เรือหลวงพระร่วง เมื่อเดินทางถึงประเทศไทย ได้ทำการต้อนรับสมโภชที่ท่าราชวรดิฐ ระหว่างวันที่ 8-10 ตุลาคม ค.ศ.1920 เป็นเวลาถึง 3 วัน หลังจากนั้นก็ขึ้นระวางประจำการเพื่อใช้ราชการกองทัพเรือ ตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม ค.ศ.1920 จนล่วงมาถึงวันที่ 19 มิถุนายน ค.ศ.1959 ในรัชกาลที่ 8 เรือก็ถูกปลดระวางประจำการ รวมใช้ในราชการกองทัพเรือ เป็นเวลานานถึง 39 ปี สำหรับภารกิจของเรือหลวงพระร่วง เช่น เข้าร่วมอยู่ในการจัดกำลังของกองทัพเรือกรณีพิพาทอินโดจีนในช่วงปลายปีค.ศ.1940 สถานการณ์ระหว่างประเทศไทยกับอินโดจีนของฝรั่งเศสเริ่มตึงเครียดขึ้นเป็นลำดับ ในวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ.1940 กระทรวงกลาโหมได้ออกคำสั่งตั้ง พลเรือตรี หลวงสินธุสงครามชัย ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็น “แม่ทัพเรือ” นาวาเอก หลวงนาวาวิจิตร ผู้บังคับการกองเรือรบเป็น “เสนาธิการทัพเรือ” ฯลฯ และในวันเดียวกันนั้นเองกองทัพเรือได้ออกคำสั่งที่ 133/83 ตั้ง “ทัพเรือ” ขึ้น ซึ่ง “ทัพเรือ” นี้เป็นหน่วยรบเฉพาะกิจหรือ “หน่วยสนาม” จัดกำลังเป็น “กองเรือ” 3 กองคือ
กองเรือที่ 1 บังคับการโดย นาวาเอก หลวงสังวรยุทธกิจ เป็นผู้บังคับกองเรือ แบ่งออกเป็น 2 หมวด คือ - หมวดที่ 1 ประกอบด้วย เรือหลวงศรีอยุธยา เรือตอร์ปิโดใหญ่ 3 ลำ เรือดำน้ำ 2 ลำ (เรือหลวงมัจฉานุ และเรือหลวงสินสมุทร) - หมวดที่ 2 ประกอบด้วยเรือหลวงธนบุรี เรือตอร์ปิโดใหญ่ 3 ลำ และเรือหลวงบางระจัน
กองเรือที่ 2 บังคับการโดย นาวาเอก ชลิต กุลกำม์ธร เป็นผู้บังคับกองเรือ แบ่งออกเป็น 2 หมวดคือ - หมวดที่ 1 ประกอบด้วย เรือหลวงท่าจีน เรือตอร์ปิโดใหญ่ 3 ลำ เรือดำน้ำ 2 ลำ (เรือหลวงวิรุณ และ เรือหลวงพลายชุมพล) - หมวดที่ 2 ประกอบด้วย เรือหลวงแม่กลอง เรือตอร์ปิโดใหญ่ 3 ลำ และ เรือหลวงหนองสาหร่าย
กองเรือที่ 3 บังคับการโดย นาวาโทหลวงพรหมพิสุทธิ์ เป็นผู้บังคับกองเรือ ประกอบด้วยเรือหลวงสุโขทัย เรือหลวงเจ้าพระยา เรือหลวงพระร่วง เรือยามฝั่ง 6 ลำ เรือประมง 3 ลำ (ต่อมาเรียกว่าเรือ ก.) เรือหลวงสีชัง เรือหลวงพงัน เรือหลวงช้าง เรือหลวงเสม็ด เรือหลวงจวง เรือหลวงคราม เรือหลวงบริพารพาหน (เรือหลวงเกล็ดแก้ว ลำที่ 1)
จึงเห็นได้ว่า เรือหลวงพระร่วงได้พร้อมเข้าสู่สนามรบตลอดเวลาเฉกเช่นเดียวกับเรือหลวงธนบุรี จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ยุทธนาวีที่เกาะช้างขึ้นเมื่อวันที่ 17 มกราคม ค.ศ.1941
อีกภารกิจที่สำคัญยิ่งอีกครั้งหนึ่งของเรือหลวงพระร่วงที่ควรจดจำคือ ครั้นเมื่อเสด็จเตี่ย (พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์) สิ้นพระชนม์ที่ตำบลหาดทรายรีจังหวัดชุมพร ในวันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ.1923 สิริพระชนมายุได้ 44 พรรษา ในวันที่ 20 พฤษภาคม ค.ศ.1923 เรือหลวงเจนทะเลได้เชิญพระศพจากจังหวัดชุมพรมาพักถ่ายพระศพสู่ เรือหลวงพระร่วง ที่บางนา ต่อจากนั้น เรือหลวงพระร่วงได้นำพระศพเข้ามายังกรุงเทพ ฯ ประดิษฐานไว้ที่วังของพระองค์ท่านพระบาทสมเด็จ พระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงบำเพ็ญพระราชกุศลพระราชทานจนถึงวันที่ 24 ธันวาคม ค.ศ.1923 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้อัญเชิญพระศพไปพระราชทานเพลิง ณ พระเมรุท้องสนามหลวง ในวาระสุดท้ายของพระองค์ท่านก็ได้กลับมาอยู่บน เรือหลวงพระร่วง อีกครั้ง ซึ่งเป็นเรือที่พระองค์ทรงดำเนินการสรรหาซื้อและทรงเป็นผู้บังคับการเรือคนแรก และนำกลับสู่ประเทศไทยได้เป็นคนแรก อีกทั้งเรือลำนี้ก็เป็นเรือที่สรรหาซื้อมาด้วยความรัก ความกตัญญู ระหว่างปวงชนชาวไทยกับสถาบันพระมหากษัตริย์ จนถึงปัจจุบันยังไม่มีเรือลำใดอีกเลย ที่ปวงชนชาวไทยได้แสดงออกเช่นนี้ นับเป็นสิ่งที่เสด็จเตี่ยน่าจะทรงภาคภูมิใจมากที่สุดอย่างหาที่เปรียบมิได้
สมรรถนะของเรือหลวงพระร่วง
เป็นประเภทเรือพิฆาตตอร์ปิโด ที่มีระวางขับน้ำ 1,046 ตัน ความยาวตลอดลำ 83.57 เมตร ความกว้างสุด 8.34 เมตร กินน้ำลึก 4 เมตร อาวุธปืน 102 ม.ม. 3 กระบอก ปืน 76 ม.ม. 1 กระบอก ต่อมาติดปืน 40 ม.ม. 2 กระบอก ปืน 20 ม.ม. 2 กระบอก มีตอร์ปิโด 21 นิ้ว 4 ท่อ มีรางปล่อยระเบิดลึก และมีแท่นยิงปืนระเบิดลึก 2 แท่น เครื่องจักรเป็นแบบไอน้ำแบบ บี.ซี. เกียร์ เทอร์ไบน์ จำนวน 2 เครื่อง ใบจักรคู่ กำลัง 29,000 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 35 นอต ความเร็วมัธยัสถ์ 14 นอต รัศมีทำการเมื่อความเร็วมัธยัสถ์ 1,896 ไมล์ ทหารประจำเรือ 135 คน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.rtni.org/th/library/wp-content/uploads/2013/11/นาวิกศาสตร์-พย-2555-เรือหลวงพระร่วง-เรือของปวงชนชาวไทย.pdf
ภาพต้นฉบับก่อนลงสีจาก : http://f.ptcdn.info/909/024/000/1414378688-JPG-o.jpg |