I-400-class submarine (伊四百型潜水艦)


Japanese Submarine I-400 Sagami Bay, August 20, 1945.

เรือดำน้ำบรรทุกเครื่องบินในชั้น อิ-400 (I-400-class submarine)

โดยที่แนวความคิดในการสร้างเรือดำน้ำบรรทุกเครื่องบินในชุดนี้เป็นของ พลเรือเอก อิโซโรคุ ยามาโมโตะ ผู้บัญชาการของกองทัพเรือจักรวรรดิญี่ปุ่นในช่วงต้นสงของครามโลกครั้งที่สอง ได้ไม่นานหลังจากการโจมตีเพิร์ลฮาเบอร์ในเดือนธันวาคม ค.ศ.1941 อิโซโรคุมีความคิดที่จะโจมตีทางอากาศต่อเมืองใหญ่ๆ ที่ตั้งอยู่ในบริเวณชายฝั่งบนผืนแผ่นดินใหญ่ของประเทศสหรัฐฯ โดยการใช้เครื่องบินที่ถูกปล่อยออกจากเรือดำน้ำ โดยที่แผนการดังกล่าวได้ถูกนำไปศึกษาหาความเป็นไปได้โดยคณะเสนาธิการของกองทัพเรือจักรวรรดิญี่ปุ่นและนำเสนอสู่กองบัญชาการของกองทัพเรือจักรวรรดิญี่ปุ่นในวันที่ 13 มกราคม ค.ศ.1942 ให้มีการออกแบบและสร้างเรือดำน้ำขนาดใหญ่เป็นจำนวนถึง 18 ลำ ที่มีพิสัยทำการไกลมากพอที่จะถูกส่งไปปฏิบัติการใกล้ๆกับชายฝั่งของประเทศสหรัฐฯ และยังเดินทางกลับได้โดยไม่ต้องรับการส่งกำลังบำรุงระหว่างทาง เเละยังต้องสามารถนำเครื่องบินทะเลที่มีขีดความสามารถในการบรรทุกตอร์ปิโดหรือระเบิด น้ำหนักรวมไม่น้อยกว่า 800 กก. อย่างน้อย 2 เครื่อง ไปกับเรือพร้อมทั้งมีขีดความสามารถในการปล่อยเครื่องบินออกจากเรือด้วยเครื่องดีดเครื่องบินประจำเรือ การออกแบบเรือดำน้ำสำหรับภารกิจข้ามโลกนี้ถูกดำเนินการด้วยความรวดเร็วจนได้ผลสรุปออกมาเป็นแบบเรือดำน้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อวันที่ 17 มีนาคม ค.ศ.1942 โดยใช้เวลาในการออกแบบเพียง 64 วันเท่านั้น

ในวันที่ 18 มกราคม ค.ศ.1943 เรือดำน้ำในชั้น อิ-400 ลำแรก คือ อิ-400 ได้เริ่มวางกระดูกงูที่อู่ต่อเรือในเมืองคุเระ และอีก4ลำก็เริ่มทำการก่อสร้างภายในปีเดียวกัน คือ อิ-401 เริ่มวางกระดูกงูในเดือนเมษายน ค.ศ.1943 อิ-402 เริ่มวางกระดูกงูในเดือนตุลาคม ค.ศ.1943 ที่อู่ต่อเรือในเมืองซาเซโบะ อิ-403 เริ่มวางกระดูกงูในเดือนกันยายน ค.ศ.1943 ที่อู่ต่อเรือในเมืองโกเบ และลำสุดท้ายคือ อิ-404 เริ่มวางกระดูกงูในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1944 ที่อู่ต่อเรือในเมืองคุเระ แต่หลังจากที่พลเรือเอก อิโซโรคุ ยามาโมโตะเสียชีวิตลง ในวันที่ 18 เมษายน ค.ศ.1943 โครงการเรือดำน้ำบรรทุกเครื่องบิน ก็ถูกพิจาณาปรับลดจำนวนลงจากที่เดิมวางแผนที่จะสร้างออกมาทั้งสิ้น 18 ลำ ก็ถูกตัดเหลือเพียง 9 ลำ ที่ในเวลาต่อมาก็ถูกตัดลงอีกเหลือ 5 ลำ จนท้ายที่สุดเหลือเพียง 3 ลำเท่านั้น คือ อิ-400 และ อิ-401 ซึ่งถูกนำเข้าประจำการในวันที่ 30 ธันวาคม ค.ศ.1944 และในวันที่ 8 มกราคม ค.ศ.1945 ตามลำดับ ส่วน อิ-402 สร้างเสร็จในเดือนกรกฎาคม ค.ศ.1945 ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงได้ไม่นาน จึงไม่เคยออกปฏิบัติในทะเลเเต่อย่างใด ส่วนลำอื่นๆที่เริ่มก่อสร้างไปเพียงบางส่วนก็ถูกยกเลิกไป

ในช่วงต้นปีค.ศ.1945 ทางกองทัพเรือจักรวรรดิญี่ปุ่นมีแผนที่จะใช้เรือดำน้ำบรรทุกเครื่องบินที่มีอยู่ทั้งหมด 4 ลำ คือ อิ-400 และ อิ-401 ในชั้น อิ-400 ที่สามารถบรรทุกเครื่องบินทะเลเเบบไอจิ เอ็ม6เอ1 เซย์รัน ได้ลำละ 3 เครื่อง กับ เรือดำน้ำ อิ-13 และ อิ-14 ที่บรรทุกเครื่องบินทะเลเเบบไอจิ เอ็ม6เอ1 เซย์รัน ได้ลำละ 2 เครื่อง สนธิกำลังเพื่อเข้าโจมตีประตูกั้นน้ำที่คลองปานามา เพื่อขัดขวางการเคลื่อนย้ายเรือรบจากฝั่งแอตแลนติกมาเสริมกำลังในแปซิฟิก แต่ต่อมาก็เปลี่ยนแผนไปโจมตีฐานทัพเรือของฝ่ายสัมพันธมิตรที่เกาะปะการังอูลิธี ซึ่งเป็นสถานที่ใช้ในการซ่อมบำรุงเรือรบที่เสียหายของกองทัพเรือฝ่ายสัมพันธมิตร โดยวางแผนที่จะเข้าโจมตีในคืนวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ.1945 แต่สงครามจบลงเสียก่อน เรือ อิ-400 อิ-401 และ อิ-14 จึงถูกยึดโดยฝ่ายสัมพันธมิตรหลังสงครามจบลงไม่นาน ส่วน อิ-13 ถูกจมโดยกองทัพเรือสหรัฐฯ ในวันที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ.1945 พร้อมลูกเรือทั้งหมด 140 นาย นับว่าเป็นการจมเรือดำน้ำลำเดียวที่มีพลประจำเรือเสียชีวิตมากที่สุดในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

หลังจากที่เรือดำน้ำบรรทุกเครื่องบินทั้ง 3 ลำถูกยึดทั้งหมดแล้ว จึงถูกนำไปถตรวจสอบขั้นต้นโดยเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ที่ได้สร้างความประหลาดใจถึงขีดความสามารถของญี่ปุ่นในการสร้างเรือดำน้ำขนาดใหญ่แบบนี้ กองทัพเรือสหรัฐฯ จึงได้นำเอาเรือดำน้ำทั้ง 3 ลำไปทำการศึกษาที่ฐานทัพเรือที่ฮาวาย กระทั่งกลางปีค.ศ.1946 กองทัพเรือสหรัฐฯ ติดสินใจจมเรือดำน้ำทั้ง 3 ลำเพื่อเป็นการป้องกันมิให้เทคโนโลยีในการสร้างเรือดำน้ำขนาดใหญ่ตกไปอยู่ในมือของฝ่ายรัสเซีย เพราะว่ารัสเซียเองก็อ้างสิทธิของตนเพื่อขอเข้ามาทำการศึกษาเรือดำน้ำทั้ง 3 ลำของญี่ปุ่นด้วย โดยเรือทั้ง 3 จึงถูกจมโดยการยิงด้วยตอร์ปิโดในบริเวณนอกชายฝั่งฮาวาย โดยตำแหน่งที่เรือจมถูกปกปิดไว้ แต่อย่างไรก็ดีหลังจากผ่านมาเป็นเวลา 60 กว่าปี จุดที่เรือทั้ง 3 จมก็ถูกทยอยถูกค้นพบระหว่างการสำรวจท้องทะเลในแถบนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ โดยที่ซากของเรือ อิ-401 ถูกตรวจพบในวันที่ 17 มีนาคม ค.ศ.2005 ซากของเรือ อิ-14 ถูกตรวจพบในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ.2009 และลำสุดท้ายคือ อิ-400 ถูกตรวจพบในวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ.2013 ที่ผ่านมา

ลักษณะเฉพาะ
ระวางขับน้ำ: 6560 ตัน
ความยาว: 122 เมตร
ความกว้าง: 12 เมตร
กินน้ำลึก: 7 เมตร
เครื่องยนต์: เเบบดีเซลขนาด 2250 แรงม้า 4 เครื่องสำหรับบนผิวน้ำ มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 2100 แรงม้า 2 เครื่องสำหรับใต้น้ำ
ความเร็ว: บนผิวน้ำ 18.7 นอต/ใต้น้ำ 12 นอต
ดำน้ำลึสูงสุด: 100เมตร
อัตราเต็มที่: 144 นาย
ยุทโธปกรณ์:
- เครื่องบินทะเลเเบบไอจิ เอ็ม6เอ1 เซย์รัน จำนวน 3 เครื่อง
- ท่อยิงตอร์ปิโด 8x533 ม.ม
- ปืนใหญ่ 1x140 ม.ม
- ปืนกล 3x25 ม.ม
- ปืนกล 1x25 ม.ม

ขอขอบคุณบทความจาก : #เรือรบในอดีต https://www.facebook.com/thepastwarship/photos/pb.490610531011918.-2207520000.1431940825./569379849801652/?type=3&theater

เป็นภาพของเรือดำน้ำบรรทุกเครื่องบิน อิ-400 ที่บริเวณอ่าวซางามิ เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม ค.ศ.1945

ภาพขาวดำต้นฉบับที่ทางเพจนำมาลงสีจาก : http://livedoor.blogimg.jp/kancollematome/imgs/8/1/819d75e9.jpg

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น