HTMS Thonburi


เรือรบที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของราชนาวีไทย

เรือหลวงธนบุรี (HTMS Thonburi)

เรือหลวงธนบุรี เป็นเรือรบประเภทเรือปืนหนักและเรือปืนยามฝั่งในสังกัดของกองทัพเรือไทย ซึ่งจัดอยู่ในประเภทเดียวกันและชั้นเดียวกันกับเรือหลวงศรีอยุธยา ที่ถูกต่อขึ้นที่อู่ต่อเรือคาวาซากิ ณ เมืองโกเบ ในประเทศญี่ปุ่น โดยได้เริ่มทำการวางกระดูกงูในวันที่ 12 มกราคม ค.ศ.1936 เเละทำพิธีปล่อยเรือลงน้ำในวันที่ 31 กรกฎาคม 
ค.ศ.1937 เเละได้ทำการขึ้นระวางเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ.1938 ที่ได้เป็นขุมกำลังสำคัญของกองทัพเรือไทยในช่วงกรณีพิพาทระหว่างไทย - อินโดจีนฝรั่งเศส

โดยที่เรือหลวงธนบุรีได้เข้าทำการรบอย่างกล้าหาญในยุทธนาวีเกาะช้าง หรือ การรบที่เกาะช้าง เมื่อวันที่ 17 มกราคม ค.ศ.1941 ที่เป็นเหตุการณ์การรบทางเรือที่เกิดขึ้นในกรณีพิพาทไทย-อินโดจีนฝรั่งเศส อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่ไทยได้เรียกร้องให้ปรับปรุงเส้นแบ่งเขตแดน ไทย-อินโดจีนฝรั่งเศส เสียใหม่ โดยจะต้องใช้แนวร่องน้ำลึกเป็นเกณฑ์ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ตามหลักความยุติธรรม และให้ฝรั่งเศสคืนดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงที่ฝรั่งเศสยึดไปจากเหตุการณ์ ร.ศ. 112 (ค.ศ.1940–41) ที่ส่งผลให้ให้ยุทธภูมิในการรบครั้งนี้เกิดขึ้นที่บริเวณทางตอนใต้ของเกาะช้าง ที่จังหวัดตราด โดยมีรายละเอียดในการรบดังต่อไปนี้

กองเรือไทย
เรือปืนยามฝั่ง ธนบุรี
เรือตอร์ปิโด สงขลา
เรือตอร์ปิโด ชลบุรี

กองเรือฝรั่งเศส
เรือลาดตะเวนเบา ลามอตต์-ปิเกต์
เรือสลุป อามิราล ชาร์เนร์
เรือสลุป ดูมองต์ ดูร์วิลล์
เรือช่วยรบ ตาฮูร์
เรือช่วยรบ มาร์น

ในตอนค่ำของวันที่ 16 มกราคม ค.ศ.1941 เรือหลวงธนบุรีได้ย้ายที่จอดเรือจากเกาะง่ามมาจอดอยู่ยังที่จอดเรือใหม่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะลิ่ม เมื่อเวลา 19.00 น. โดยมีเรือหลวงหนองสาหร่ายและเรือหลวงเทียวอุทกตามมาด้วย และเรือหลวงระยองซึ่งได้รับคำสั่งให้ไปรักษาการณ์ทางด้านใต้เกาะกูดนั้น ได้ออกเรือจากเกาะง่ามเมื่อเวลา 20.00 น. ในคืนเดียวกัน

วันที่ 17 มกราคม ค.ศ.1941 เวลา 05.30 น. เมื่อได้เป่าแตรปลุกทหารตามเวลาแล้ว ก็มีการฝึกหัดการบริหารดังเช่นเคย และตามที่เรืออื่นๆ ได้ปฏิบัติกัน เมื่อได้ทำการบริหารไปเล็กน้อย ก็ได้ยินเสียงเครื่องบินข้าศึก ทางเรือจึงมีคำสั่งให้เข้าประจำสถานีต่อสู้อากาศยาน ครั้นแล้วก็ได้แลเห็นเครื่องบิน แต่เรือหลวงธนบุรีมิได้กระทำการยิงเพราะอยู่ไกลสุดระยะปืน และเครื่องบินทะเลลำนี้ เมื่อได้บินมุ่งมาทางเรือหลวงธนบุรีชั่วเวลาเล็กน้อยแล้วก็บินหวนกลับไป ทางที่เรือตอร์ปิโดฝ่ายเราจอดอยู่ในไม่ช้าก็ได้ยินเสียงปืนจากเรือตอร์ปิโดทั้งสองนั้น ทำการยิงเครื่องบินทะเลลำนี้ และได้แลเห็นกลุ่มควันของกระสุนระเบิดอยู่ล้อมรอบเครื่องบินทะเล กระสุนปืนกลได้วิ่งผ่าน เครื่องบินทะเลไปหลายสิบนัด แล้วเครื่องบินทะเลก็ลับหายไป เมื่อเครื่องบินทะเลข้าศึกลับตาไปแล้ว ก็ได้ยินเสียงปืนใหญ่ดังขึ้นทางด้านที่เรือตอร์ปิโดฝ่ายเราจอดอยู่นั้นอีกครั้งหนึ่งและเป็นเสียงดังอย่างถี่ แสดงว่าได้มีการระดมยิงอย่างหนัก แต่ก็มองไม่เห็นกลุ่มควันระเบิดในอากาศดังเช่นครั้งก่อน จึงสันนิษฐานได้ว่าเรือตอร์ปิโดฝ่ายเราคงจะได้เกิดปะทะกับเรือข้าศึกขึ้นแล้ว

เเละด้วยความต้องการที่จะไปช่วยเหลือเรือตอร์ปิโดทั้งสองลำ เรือหลวงธนบุรี จึงได้สั่งให้ถอนสมอและออกเรือ เมื่อเวลาประมาณ 06.20 น. ก่อนหน้านี้ แตรสัญญาณประจำสถานีรบก็ดังขึ้น นอกจากทหารที่ประจำหน้าที่อยู่บ้างแล้ว ทหารในเรือได้วิ่งเข้าประจำตามตำแหน่งหน้าที่ และเตรียมการใช้อาวุธปืนใหญ่ของเรือต่อไป ส่วนเรือหลวงหนองสาหร่าย และเรือหลวงเทียวอุทก ก็ได้ออกเรือตามมาในเวลาใกล้ๆ กันตามลำดับ เมื่อเรือหลวงธนบุรีแล่นพ้นที่จอดเรือ มาได้เล็กน้อยยามบนสะพานเดินเรือก็ตะโกนรายงานลงมาว่าเห็นเรือข้าศึก 1 ลำ ทางท้ายเกาะไม้ซี้ใหญ่ ผู้บังคับหมวดเรือนายนาวาโท หลวงพร้อมวีรพันธุ์ ซึ่งเป็นผู้บังคับการเรือหลวงธนบุรีด้วยนั้น จึงเอากล้องส่องดูปรากฏว่าเป็นเรือลาดตระเวนลามอตต์ปิเกต์ แล่นโผล่จากหัวเกาะด้วยความเร็ว ประมาณ 20 นอต หัวเรือหันไปทางตะวันออก เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ผู้บังคับการเรือ จึงตัดสินใจเข้าทำการต่อสู้ทันที และได้พูดขึ้นสั้นๆ ว่า เอามัน แล้วสั่งให้หันหัวเรือเข้าหาข้าศึก เพื่อทำการต่อสู้จนถึงที่สุด เพราะเรือลำนี้เป็นกำลังสำคัญ ของกองทัพเรืออินโดจีนฝรั่งเศส และในเวลาเดียวกันนั้น ได้สั่งให้รายงานไปยังกองทัพเรือ โดยทางวิทยุโทรเลขว่าเรือลาดตระเวนเบาลามอตต์-ปิเกต์เข้าโจมตีหมวดเรือนี้ที่ด้านใต้เกาะช้าง

สำหรับเรือหลวงหนองสาหร่าย และเรือหลวงเทียวอุทก ผู้บังคับหมวดเรือได้สั่งว่าไม่ต้องตามมาให้หลบขึ้นไปอยู่ทางเหนือของเกาะช้าง ทั้งนี้ก็เพราะเรือทั้งสองลำนี้เป็นเรือขนาดเล็ก ไม่สมควรจะเข้าทำการรบกับเรือข้าศึกขนาดใหญ่

ต่อมาเรือลาดตระเวนเบาลามอตต์-ปิเกต์ของข้าศึกได้บังเกาะไม้ซี้ใหญ่ จนมองไม่เห็นในชั่วขณะหนึ่ง และในเวลาเดียวกันนี้เอง ปืนใหญ่ป้อมท้ายของเรือหลวงธนบุรีเกิดขัดข้อง ยังเตรียมการยิงไม่พร้อมทีเดียว ผู้บังคับการเรือจึงสั่งเลี้ยวซ้ายขึ้นทางเหนือ เพื่อเอาเกาะบังเป็นการถ่วงเวลาไว้เช่นเดียวกัน ครั้นได้รับรายงานว่าปืนพร้อมเวลาประมาณ 06.40 น. จึงได้สั่งหันหัวเรือไปทางทิศใต้ ประมาณตะวันออกเฉียงใต้ แล่นด้วยความเร็วเต็มที่ประมาณ 15 นอต
ในเวลาใกล้ๆ กันนี้ เรือลาดตระเวนเบาลามอตต์-ปิเกต์ ก็โผล่หน้าจากเกาะไม้ซี้ใหญ่ออกมา การต่อสู้ ระหว่างเรือปืนหนักของไทยกับเรือลาดตระเวนเบาของฝรั่งเศส ซึ่งมีเส้นทางไปทางทิศตะวันออกก็ได้เริ่มขึ้นทันที ความจริงแล้วเรือหลวงธนบุรีมีระวางขับน้ำเพียง 2,220 ตัน ความเร็ว 16 นอต เมื่อเปรียบเทียบกับเรือลาดตระเวนเบาลามอตต์-ปิเกต์ ของข้าศึก ซึ่งมีระวางขับน้ำถึง 9,350 ตัน ความเร็ว 33 นอตแล้ว ก็จะเห็นได้ว่าเล็กกว่าและเป็นรองกว่า แม้จะกล่าวว่าเรือหลวงธนบุรีมีปืนใหญ่ คือมีปืนใหญ่ขนาดถึง 8 นิ้ว 4 กระบอกก็ตามเรือข้าศึกก็มีปืน 6 นิ้ว ถึง 8 กระบอก ซึ่งเรือข้าศึกที่ว่านี้ยังมีจรวดตอร์ปิโดติดตั้งอยู่บนเรืออีกด้วย

ในระยะแรกของการต่อสู้ ฝ่ายเราได้ยิงถูกโดยเรือลาดตระเวนของข้าศึกแถวบริเวณ สะพานเดินเรือ 2 นัด แลเห็นประกายระเบิด และควันพลุ่งขึ้นมาในบริเวณนั้น ได้อย่างชัดเจนเรือลาดตระเวนเบาของข้าศึกนั้น ได้ทำการ ระดมยิงเรือหลวงธนบุรีอย่างหนัก และยิงตอร์ปิโดมายังเรือหลวงธนบุรีถึง 3 ลูก แต่ไม่ถูกเป้าในไม่ช้าเรือหลวงธนบุรี ได้ถูกกระสุนข้าศึกเช่นกัน กระสุนนัดแรกของข้าศึก ได้ถูกที่ใต้สะพานเดินเรือแล้วแฉลบ เข้าไประเบิดในหอบังคับการ ซึ่งเป็นที่สำหรับผู้บังคับการเรือสั่งการทั่วไป ภายในหอบังคับการนี้ นอกจากผู้บังคับการเรือแล้ว ยังมีต้นหนและทหารเหล่าสามัญประจำอยู่กับผู้บังคับการเรือด้วย เพื่อถือท้ายและติดต่อคำสั่งไปยังเจ้าหน้าที่ต่างๆ กระสุนนัดแรกนี้ ทำให้ทหารในหอบังคับการล้มทับกันระเนระนาด นอกจากนั้นยังมีควันตลบไปทั่วจนมองไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ผู้บังคับการเรือและจ่าเรือ ซึ่งกำลังถือท้ายอยู่นั้นได้เสียชีวิตลงในทันทีทันใด ทหารนอกนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสบ้าง ไม่สาหัสบ้าง อำนาจของกระสุนนัดนี้ นอกจากจะปลิดชีวิตของ ผู้บังคับการเรือไปแล้ว ยังทำให้เครื่องถือท้ายเกิดขัดข้องอีกด้วย ต้นหนคือนายเรือโท เฉลิม สถิรถาวร ซึ่งได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะด้านหลังต้องออกจากหอบังคับการลงไปจากสะพานเดินเรือ เพื่อจัดการใช้เครื่องถือท้ายอะไหล่ที่ท้ายเรือในขณะนั้น เรือหลวงธนบุรี ได้แล่นหมุนเป็นวงกว้างอยู่หลายรอบ เมื่อใช้เครื่องถือท้ายอะไหล่ได้แล้ว จึงได้กลับแล่นไปในทิศทางเดิม แต่อย่างไรก็ตามการที่จะบังคับเรือให้อยู่ในทิศทางตามต้องการ ก็ไม่สู้จะทำได้คล่องแคล่วนัก และในขณะเดียวกันเรือข้าศึกอีก 3 ลำ ที่ทำการต่อสู้กับเรือตอร์ปิโด ของฝ่ายเราทั้ง 2 ลำ เมื่อได้ยินเสียงปืนดังขึ้นทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะช้างแล้ว ได้แล่นเข้ามาสมทบกับกำลังของตน ทำการระดมยิงเรือหลวงธนบุรีแต่เพียงฝ่ายเดียว

เวลา 07.40 น. ทางเรือได้ยินเสียง และเห็นเครื่องบิน 1 ลำ บินอยู่เหนือเรือในขณะแรกที่ได้เห็นนั้น ทหารทุกคนต่างนึกดีใจว่า คงจะเป็นเครื่องบินของฝ่ายไทยมาทำการช่วยเหลือ แต่เหตุการณ์กลับเป็นตรงกันข้าม เสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นในเรือทหารได้รับคำสั่งให้หลบเข้าที่กำบังระเบิด 1 ลูก ได้ตกลงมาถูกห้องสูทกรรม (ห้องครัว) ทำให้เกิดเพลิงไหม้หนักขึ้นอีก ทหารที่กำลังทำงานอยู่ในบริเวณนั้น ได้เสียชีวิตไปในทันทีมีจำนวน 3 นาย บางนายถูกไฟลวกตามหน้า และตัวมองเห็นหนังกำพร้าสีขาว บางคนก็ไหม้เกรียมและที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส และไม่สาหัสก็อีกหลายนาย ส่วนทหารซึ่งทำงานอยู่ในที่อื่น แต่อำนาจระเบิดไปถึงก็ได้ถูกสะเก็ดระเบิดบาดเจ็บอีกหลายนาย เช่นกันอำนาจของระเบิดนี้ แม้จะไม่ทำให้ทหารอื่นได้รับบาดเจ็บ แต่อย่างไรก็ตามก็ทำให้ตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง ถึงแม้ว่าเรือหลวงธนบุรีจะได้เกิดไฟไหม้ลุกลามไปหลายแห่ง และทหารประจำเรือได้เสียชีวิต และบาดเจ็บไปแล้ว เป็นจำนวนหลายนายก็ตาม แต่ปืนป้อมของเรือ ซึ่งยังไม่มีการเสียหายแต่ประการใด ก็ยังคงทำการยิงอย่างหนักอยู่ตลอดเวลา ในตอนหลังนี้กระสุนได้ถูกเรือลาดตระเวนเบาของข้าศึก ซึ่งได้แล่นกลับขึ้นมาในทิศทางเดิม อีกครั้งหนึ่ง เข้าอย่างจัง ที่ตอนท้ายเรือ บริเวณป้อมท้ายแลเห็นประกายไฟ และควันพลุ่งตามขึ้นมาเข้าใจว่า คงทำความเสียหายให้ข้าศึก ไม่น้อยทีเดียวเรือลาดตระเวนข้าศึก จึงเลี้ยวขวากลับหลังหันไปในทิศทางตรงกันข้ามอีกแล่นส่ายไปมา และได้ชักธงสัญญาณขึ้นที่พรวนหลายครั้ง พร้อมกับเปิดแตรไซเรนเป็นสัญญาณ ส่งคำสั่งให้เรือลำอื่นๆ ฝ่ายตนทราบเรือตามเหล่านั้น จึงล่าถอยออกจากยุทธบริเวณตามไปเช่นเดียวกัน

เมื่อเรือข้าศึกได้หันหนีถอยไปนั้น เรือหลวงธนบุรีจะทำการติดตามก็ไม่ทัน เพราะความเร็วน้อย และสภาพของเรือไม่อำนวย จึงได้แต่สั่งยิงกระสุนปืนใหญ่ตามไปอีกหลายตับจนข้าศึก แล่นบังเกาะไม้ซี้ใหญ่ไป เมื่อเรือลาดตระเวนเบาของฝรั่งเศสแล่นออกไปนั้น ในเรือได้มีไฟลุกอยู่ที่ตอนท้ายเรือ และลำเรือตอนท้ายแปล้น้ำผิดกว่าปกติมากกว่าเรือตามอีก 3 ลำ ได้แล่นประคองไปทางทิศตะวันตก เมื่อเรือฝ่ายข้าศึกได้พากันล่าถอยไปแล้ว เวลา 08.30 น. ป้อมต่าง ๆ ได้รับคำสั่งให้ทำการหยุดยิง ทหารประจำป้อมปืน จึงเลิกประจำหน้าที่ และออกมานอกป้อม เเลเมื่อเห็นว่าการดับไฟของเรือหลวงธนบุรี จะไม่เป็นผลสำเร็จลงได้ง่าย และเรืออาจเป็นอันตรายลงในทันทีทันใด เนื่องจากกระสุนดินปืนในคลังในเรืออาจเกิดการระเบิดขึ้นได้ จึงได้สั่งให้เปิดน้ำเข้าคลังกระสุนและดินปืนด้วย

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วน้ำจึงไหลเข้าเรือมากและรวดเร็วจนท้ายเรือแปล้น้ำมากขึ้น และเรือหลวงธนบุรี มีอาการเอียงทางกราบขวา แต่เรือก็ยังคงใช้เครื่องจักรเดินต่อไป ทหารในเรือต่างช่วยกันทำการดับไฟมิได้เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย แม้เวลาจะล่วงไปเท่าใดก็ตาม เขาเหล่านั้นมิได้ยอมละความพยายามเลย ไฟจะสงบลงบ้างก็เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น แต่แล้วไฟก็กลับลุกกระพือโหมหนักขึ้นอีก

แม้เรือหลวงธนบุรีจะถูกไฟไหม้และมีสภาพบอบช้ำ แต่ก็ยังคงใช้เครื่องจักรเดินต่อมาได้อย่างเรียบร้อย ทั้งนี้เพราะเครื่องจักรเหล่านั้น ไม่ได้เกิดการเสียหายมากมายนัก เมื่อไฟได้ลุกมากขึ้นและลามไปถึงหลังห้องเครื่องจักรควันไฟและควันระเบิด ได้กระจายส่งไปถึงห้องเครื่องจักรใหญ่ เครื่องจักรช่วย และห้องไฟฟ้า ไฟได้ลุกลามขึ้นตามลำดับ จนในที่สุดนายทหารพรรคกลิน จำนวน 8 นาย ในห้องไฟฟ้าได้เสียชีวิตลง

ในขณะที่เรือหลวงธนบุรีกำลังไฟไหม้อยู่นั้น เรือหลวงช้างซึ่งลำเลียงทหารมาถึงแหลมงอบ ได้ยินเสียงปืน ตอบโต้การสู้รบก็รีบเดินทางมาช่วยเห็นเรือหลวงธนบุรีไฟไหม้อยู่ จึงเข้าช่วยทำการดับไฟ ซึ่งในขณะนั้น เรือหลวงธนบุรีได้หยุดลอยลำอยู่ในแนวประมาณเกาะลิ่มกับแหลมน้ำ ใกล้ไปทางแหลมน้ำและการที่เรือจะขืนแล่นต่อไปให้ถึงแหลมน้ำนั้นการดับไฟก็จะไม่เป็นผล เพราะมีกระแสลมพัดเกิดขึ้นเมื่อเรือหลวงธนบุรีมีสภาพหมดหนทางที่จะทำการแก้ไขคืนดีได้แล้ว ทางเรือจึงตัดสินใจให้เรือหลวงช้างจูงไปเกยตื้นบริเวณแหลมงอบ

เเต่อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าทหารประจำเรือเเละชาวบ้านแถวแหลมงอบจังหวัดตราด และชาวบ้านใกล้เคียง เป็นจำนวนมากจะช่วยกันดับไฟ โดยใช้เรือเล็กและเรือพื้นเมืองไปทำการดับไฟ แต่ก็ไม่สามารถดับไฟได้ เรือหลวงธนบุรีซึ่งเกยตื้นอยู่นั้น ได้เริ่มตะแคงทางกราบขวามากขึ้นทุกที ในที่สุดเวลาประมาณ 16.40 น. กราบเรือทางขวาก็เริ่มจมน้ำมากขึ้น ตามลำดับเสาทั้งสองเอนจมลงไปกราบซ้าย และกระดูกงูกันโคลงโผล่อยู่พ้นผิวน้ำ โดยจากการรบในครั้งนี้ ทหารประจำเรือหลวงธนบุรี ได้เสียชีวิตรวมทั้งหมดเป็นจำนวน 20 นายด้วยกันตามรายนามดังต่อไปนี้

นายนาวาเอก หลวงพร้อมวีรพันธุ์ (พร้อม วีระพันธุ์)
นายนาวาเอก อัชฌา พัฒนวิบูลย์
นายเรือโท เทียน เหมือนสุวรรณ
นายเรือโท ทองมี เสตะจันทร์
นายเรือโท สว่าง สุวรรณเปี่ยม
นายเรือโท ขัน วงศ์กนก
นายเรือตรี ทองปอนด์ ชำนาญแพทย์
นายเรือตรี พรม รักษ์กิจ
นายเรือตรี สมัย จำปาสุต
พันจ่าเอก เฟื่อง ยาประดิษฐ์
พันจ่าเอก สาคร ฉันบุญช่วย
พันจ่าเอก มูล พึ่งมา
พันจ่าเอก ยก นรธด
พันจ่าเอก สม จันมะณี
พันจ่าเอก ปิ่น แซ่ลิ้ม
พันจ่าเอก เอี๋ยว อึ้งหลี
พันจ่าเอก ลบ นุดนา
พันจ่าเอก นวล เสี่ยงบุญ
พันจ่าเอก ลำดวน ทัพพะเกตุ
พันจ่าเอก ยู่เล้ง อาจสาคร

ที่ถือเป็นการรบทางทะเลเพียงครั้งเเรกเเละครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ของราชนาวีไทย กับรัฐบาลฝ่ายวิชีฝรั่งเศสในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ที่เเม้ไม่อาจตัดสินผลของสงครามได้อย่างเด็ดขาดก็ตาม เเต่ก็นับว่าเป็นการรบทางเรือที่แสดงถึงความกล้าหาญ และจิตใจอันกล้าเเกร่งของชายชาติทหารเเห่งราชนาวีไทย ซึ่งทางฝ่ายฝรั่งเศสเอง ก็ยังได้กล่าวถึงการรบครั้งนี้ดังปรากฏในวิทยุกระจายเสียงที่สถานีไซ่ง่อนเป็นภาษาฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 19 มกราคม ค.ศ.1941 ภายหลังจากการรบ 2 วัน ดังมีข้อความดังสำเนาคำแปล ต่อไปนี้

“แต่เราจะลืมเสียมิได้ที่จะสรรเสริญการต่อสู้อย่างทรหดกล้าหาญของทหารเรือไทย เราขอน้อมเคารพพวกทหารเรือไทย ที่ได้สิ้นชีพในการต่อสู้ จนถึงที่สุดอย่างสมเกียรติทหาร เพื่อบ้านเกิดเมืองนอนของเขาด้วย”

ภายหลังเมื่อได้มีการกู้ซากของเรือหลวงธนบุรีแล้ว ทางกองทัพเรือก็ได้ลากจูงเรือหลวงธนบุรีมาทำการซ่อมเเซมครั้งใหญ่ในวันที่ 26 กันยายน ค.ศ.1941 แต่เมื่อตรวจสอบแล้วเเต่พบว่าตัวเรือได้รับเสียหายหนักเกินกว่าจะซ่อมแซมได้ จึงทำการปลดระวางประจำการจากการเป็นเรือรบ และใช้ไปเป็นกองบังคับการลอยน้ำของกองเรือตรวจอ่าว กองเรือยุทธการ จนกระทั่งปลดระวางประจำการเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน ค.ศ.1959 ทางราชการจึงได้นำส่วนป้อมปืนเรือและหอบังคับการของเรือหลวงธนบุรีมาจัดตั้งเป็นอนุสรณ์สถานเรือหลวงธนบุรี เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ยุทธนาวีเกาะช้าง ซึ่งถูกตั้งอยู่ภายในโรงเรียนนายเรือ ที่จังหวัดสมุทรปราการ ณ ปัจจุบัน

ซึ่งที่มาของชื่อเรือหลวงธนบุรีนั่นได้มาจากนามของ "กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร" อันเป็นนามของราชธานีไทยในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (ค.ศ.1767- 1782)

ข้อมูลจำเพาะ
ระวางขับน้ำ: เต็มที่ 2,350 ตัน
ความยาว: รวม 77 เมตร
ความกว้าง: 13.41 เมตร
กินน้ำลึก: 4.20 เมตร
เครื่องจักร: เครื่องยนต์ดีเซล จำนวน 2 เครื่อง กำลัง 2,500 แรงม้าต่อเครื่อง
ความเร็วสูงสุด/ต่ำสุด: 15.8/12.2 นอต
รัศมีทำการสูงสุด/ต่ำสุด: 11,100/6,493 ไมล์ทะเล
กำลังพลประจำการ: 234 นาย
อาวุธ:
• ปืน 203ม.ม. แท่นคู่ 2 แท่น
• ปืนใหญ่ 75/51 มม. 4 กระบอก
• ป.ต.อ. 20 มม. แท่นคู่ 4 กระบอก

ขอขอบคุณข้อมูลจาก :
http://th.wikipedia.org/wiki/เรือหลวงธนบุรี
http://www.navy.mi.th/navalmuseum/002_history/html/his_b23_gauchang_thai.htm

เป็นภาพของเรือหลวงธนบุรี ที่อยู่ในขณะทำพิธีรับมอบเรือ ณ วันที่ 5 สิงหาคม ค.ศ.1938

ภาพขาวดำต้นฉบับที่ทางเพจนำมาลงสีจาก :
http://img.tarad.com/shop/m/modelivery/img-lib/payslip_20130301233824.jpg

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น